สำหรับผู้บริโภค และนักเล่นเครื่องเสียง ที่กำลังมองหาระบบเสียงที่ดี เพื่อให้ได้เสียงที่มีคุณภาพสูงนั้น เพาเวอร์แอมป์ (POWER AMP)ถือเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญ และเป็นตัวแปลหลักๆ ในการที่เราจะได้เสียงที่มีคุณภาพสูง 

เพาเวอร์แอมป์ (POWER AMP) นั้นจะมีอยู่ด้วยกันหลายคลาส (CLASS) โดยในแต่ละคลาสนั้นจะแบ่งตามลักษณะการทำงานของเทคโนโลยีการออกแบบเพาเวอร์แอมป์ (POWER AMP)และการปรับปรุงพัฒนาระบบการทำงานของวงจรภาคต่างๆภายในให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะใช้ชื่อเรียกตามคลาสเพาเวอร์แอมป์ (CLASS POWER AMP) โดยคลาส (CLASS) ของเพาเวอร์แอมป์(POWER AMP)  ในอดีตมีอยู่ 3 CLASS คือ CLASS A , CLASS B และ CLASS AB แต่ปัจจุบันมี CLASS D , CLASS T , CLASS G , CLASS H และอื่นๆอีก โดยเรามาทำความรู้จักในแต่ละคลาส  และแต่ละคลาสควรใช้งานแบบไหนจึงจะเหมาะสมที่สุด

Amplifier ClassA

คลาสA (Class A)  พาวเวอร์แอมป์ชนิดนี้เน้นในเรื่องของคุณภาพเสียง ค่าความเพี้ยนตํ่า และเสียงรบกวนน้อย แต่มีข้อเสียในเรื่องของความร้อนที่ค่อนข้างจะสูงเพราะมีการป้อนกระแสไฟให้ทรานซิสเตอร์อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะไม่มีสัญญาณอินพุทเข้ามาก็ตาม และกำลังขับที่ได้นั้นก็ค่อนข้างจะน้อย แอมป์ประเภทนี้จึงเหมาะกับนักฟังและผู้บริโภคที่เน้นรายละเอียดของเสียงกลาง-แหลม ไม่เน้นเสียงดังตูมตาม


Amplifier ClassB

คลาสB (Class B) พาวเวอร์แอมป์ชนิดนี้จะมีการจัดแบ่งการทำงานของทรานซิสเตอร์ในภาคขยายขาออก แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ด้านหนึ่งทำงานในช่วง + อีกด้านหนึ่งทำงานในช่วง – คือแบ่งกันทำงาน จึงทำให้มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง แต่ก็จะมีข้อด้อย คือ ช่วงที่สลับการทำงาน  ระหว่าง ช่วง + และ – การทำงานจะไม่ราบเรียบ อาจเรียกได้ว่ามีความพร่าเพี้ยน เรียกกันว่า cross over distortion คือ ความเพี้ยนที่เกิดจากช่วงสลับการทำงานของทรานซิสเตอร์  จึงทำให้เสียงที่ได้มานั้นไม่มีคุณภาพ  และในปัจจุบันพาวเวอร์แอมป์ Class นี้อาจจะไม่มีผลิตแล้ว


Amplifier ClassAB

คลาสAB (ClassAB)  คือ การรวมเอาระหว่างข้อดีและข้อด้อย ของทั้ง CLASS A และ CLASS B เข้าด้วยกัน นั่นคือ ในช่วงเวลาที่มีสัญญาณขาเข้าเบา ๆ วงจรภาคขาออกจะทำงาน ในแบบ CLASS A แต่เมื่อสัญญาณขาเข้าแรงขึ้น วงจรภาคขาออกจะทำงานในแบบ CLASS B จึงทำให้เครื่องขยายเสียงในลักษณะนี้ มีความเพี้ยนต่ำ และมีประสิทธิภาพสูง  ปัจจุบัน พาวเวอร์แอมป์ Class AB จึงเป็น พาวเวอร์แอมป์ ที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน และสามารถนำไปขับได้ทั้งลำโพงเสียงกลาง-เสียงแหลม และ ขับลำโพงซับวูเฟอร์ (ลำโพงขับเสียงต่ำ)ก็ได้


วันนี้เราพูดถึง Amplifier กันไปถึง 3 class ว่าแต่ละ class เหมาะกับการใช้งานแบบไหน ในบทความต่อไปเราจะมาพูดถึง Amplifier อีก 4 class ที่เหลือและตารางเปรียนเทียบในแต่ละคลาส

สนใจออกแบบและติดตั้งระบบเสียง ระบบเสียงประกาศ ระบบเสียงห้องประชุม หรือ Smart Classroom ติดต่อได้ที่ บริษัท แวน อินเตอร์เทรด จำกัด

เบอร์โทร: 02-728-0150

Email: van@vaninter.com

Website: www.vaninter.com

Facebook: https:// www.facebook.com/VisualAudioNetwork

4 ห้องประชุม กับเทคนิคการเลือกใช้อุปกรณ์เสียงและภาพ เป็น 4 ห้องประชุมที่ส่วนใหญ่พบเห็น อุปกรณ์เสียงและภาพในห้องประชุมนั้น สิ่งสำคัญ เพราะการประชุมคือการที่เรามาระดมความคิด มานำเสนอกัน ถ้าเราไม่มีอุปกรณ์เสียงและภาพ การนำเสนอหรือการประชุมก็อาจจะไม่ทั่วถึง และอาจทำให้ไม่มีประสิทธิภาพ

1. ห้องประชุม Conference Room

ห้องประชุมแบบนี้เป็นห้องประชุมที่พบเห็นกันได้ทั่วไป เน้นให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการประชุม ถ้าเป็นการประชุมแบบเป็นความลับ เช่นห้องประชุมผู้บริหาร อาจจะต้องเป็นไมโครโฟนชุดประชุมที่ปลอดภัย เพื่อไม่ให้มีการดักฟังการประชุม และต้องใช้อุปกรณ์เสียงและภาพที่สามารถควบคุมทุกอย่างได้จากผู้เข้าร่วมประชุมเอง พร้อมมีอุปกรณ์ที่รองรับการประชุมทางไกลได้

2. ห้องประชุมแบบ Classroom

ห้องประชุมแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นการอบรม สัมมนา จะมีจอสำหรับรับภาพจากโปรเจคเตอร์ สำหรับนำเสนอ หรือจะใช้จอ Interactive เพื่อเขียนข้อความลงไปในจอระหว่างการอบรม และใช้ไมโครโฟนแบบไร้สายเพื่อให้ผู้นำเสนอและผู้เข้าร่วมอบรมมีการโต้ตอบกัน ซักถามกันได้

3. ห้องประชุมแบบโรงหนัง  (Theater)

ห้องประชุมแบบนี้ ส่วนใหญ่เป็นห้องอบรมที่มีผู้ฟังบรรยายมากๆ จึง ควรใช้ระบบเสียงที่ติดลำโพงแบบไลน์อาเรย์ (Line Array) เพราะลำโพงแบบนี้สามารถกระจายเสียงได้ทั่วถึงทั้งห้องประชุม เพื่อที่จะให้ผู้เข้าร่วมได้รับข้อมูลได้อย่างทั่วถึง เหมาะสำหรับการจัดงานอบรมสัมมนา จัดงานนำเสนอสินค้า แสดงละครเวที และห้องเรียนสำหรับบรรยาย ต้องใช้จอที่มีขนาดใหญ่ ระบบเสียงที่ติดตั้งมากับลำโพงด้านหน้าซ้าย-ขวาที่ใช้เทคโนโลยีไลน์อาเรย์ ก็สามารถช่วยทำให้การกระจายเสียงไปยังทุกตำแหน่งในพื้นที่ของห้อง ได้อย่างครอบคลุม ทำให้ผู้เข้าอบรมจำนวนมาก ได้รับข้อมูลทั้งภาพ และเสียงได้อย่างครบถ้วน

4. ห้องประชุมแบบ Huddle Room

ห้องประชุมแบบ Huddle Room เหมาะสำหรับผู้เข้าร่วมประชุมเพียง 3 – 6 คน สามารถเพิ่มผู้เข้าร่วมประชุมได้มากขึ้นผ่านเทคโนโลยีการประชุมทางไกลเพื่อเชื่อมโยงพื้นที่การประชุมหลายแห่ง อุปกรณ์ที่ติดตั้งภายในห้อง มีเพียงจอ LED TV หรือจอInteractive  ลำโพงขนาดเล็ก 1 – 2 ตัว ที่ และกล้อง Video Camera ทั่วไป หรือจะใช้ แบบที่สามารถหมุนซ้ายขวาได้ ซูมได้ (PTZ Camera) ก็ได้ และต้องมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรือแล็ปท็อปต่างๆได้


สนใจออกแบบและติดตั้งระบบเสียง ระบบเสียงประกาศ ระบบเสียงห้องประชุม หรือ Smart Classroom ติดต่อได้ที่ บริษัท แวน อินเตอร์เทรด จำกัด

เบอร์โทร: 02-728-0150

Email: van@vaninter.com

Website: www.vaninter.com

Facebook: http://www.facebook.com/VisualAudioNetwork/

ลำโพง Active และ Passive คืออะไร ลำโพงที่เราเห็นกันในตล […]